ความแตกต่างระหว่างเหล็กข้ออ้อยที่มี “T” และไม่มี “T” หรือ เหล็ก NON-T

ความแตกต่างระหว่างเหล็กข้ออ้อยที่มี “T” และไม่มี “T” หรือ เหล็ก NON-T
เหล็กข้ออ้อยมี T ไม่มี T

เช็คราคาเหล็กข้ออ้อยวันนี้

โทร. 02-287-4097 / 090-456-1183 (มือถือ)
Line : PNRLOHAKIT

เหล็กข้ออ้อย (Deformed Bars)  เป็นวัสดุหลักที่ใช้ในงานก่อสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยมีการแบ่งเกรดของเหล็กข้ออ้อยตามมาตรฐานต่างๆ เช่น SD30, SD40, SD50 และมีทั้งที่มี “T” และไม่มี “T” หรือ Non-T ซึ่งทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันในแง่ของกระบวนการผลิตและคุณสมบัติที่ส่งผลต่อการใช้งานในโครงการก่อสร้าง

เหล็กข้ออ้อย (Deformed Bars) เป็นวัสดุก่อสร้างที่มีลักษณะผิวเป็นบั้งหรือปล้อง เพื่อเพิ่มการยึดเกาะกับคอนกรีต ทำให้โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กมีความแข็งแรงและทนทานมากขึ้น การเลือกใช้เหล็กข้ออ้อยในงานก่อสร้างจำเป็นต้องคำนึงถึงเกรดของเหล็กซึ่งจะส่งผลต่อความแข็งแรงและการใช้งานโดยมีการแบ่งเกรดตามมาตรฐานต่างๆ ซึ่งแต่ละเกรดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของความแข็งแรง ความทนทาน และการใช้งานที่เหมาะสมกับประเภทงานก่อสร้างที่แตกต่างกัน

เกรดของเหล็กข้ออ้อยตามมาตรฐาน มอก. 24-2559

เหล็กข้ออ้อยจะถูกแบ่งเป็น 3 เกรดหลัก ได้แก่:

1. เหล็กข้ออ้อย SD30

เหล็กข้ออ้อย SD30 มีจุดคลาก (Yield Strength) ไม่ต่ำกว่า 3,000 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร (ประมาณ 300 MPa) เหมาะสำหรับงานที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก

2. เหล็กข้ออ้อย SD40

เหล็กข้ออ้อย SD40  มีกำลังจุดคลากไม่ต่ำกว่า 4,000 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร (ประมาณ 400 MPa) โดยมีมาตรฐาน JIS G 3112 ของญี่ปุ่นรับรอง เหมาะสำหรับงานทั่วไปที่ต้องการความแข็งแรง

3. เหล็กข้ออ้อย SD50

เหล็กข้ออ้อย SD50 กำลังจุดคลากไม่ต่ำกว่า 5,000 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร (ประมาณ 500 MPa) โดยมีมาตรฐาน JIS G 3112 ของญี่ปุ่น หรือ ASTM A615/A706 ของสหรัฐอเมริการับรอง เหมาะสำหรับโครงสร้างที่ต้องการความทนทานสูงขึ้น เช่น อาคารสูง, สะพาน, และโครงสร้างที่ต้องรับแรงกดมาก

เกรดเหล็ก ความต้านทานแรงดึง ความต้านทาน

แรงดึงที่จุกคราก
ความยืด การใช้งาน
SD30
480 MPa
295 MPa
17
งานที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก
SD40
560 MPa
390 MPa
15
งานก่อสร้างทั่วไป
SD50
620 MPa
490 MPa
13
โครงสร้างที่รับแรงมาก

ตารางอ้างอิงจาก : ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4803 (พ.ศ.2559) 

จากตารางจะเห็นได้ว่า เหล็ก SD50 เป็นเหล็กที่มีความแข็งแรงสูงสุดแต่มีความยืดหยุ่นน้อยที่สุด จึงเหมาะสำหรับโครงสร้างที่ต้องรับแรงในแนวดิ่งเป็นหลัก เช่น งานเสาเข็ม ฐานราก และตอม่อ โดยมักถูกนำไปใช้ในโครงการขนาดใหญ่ เช่น การก่อสร้างทางยกระดับ ทางต่างระดับ สะพาน รวมถึงเสาเข็มและฐานรากของอาคารสูง โดยเฉพาะในชั้นล่างที่ต้องการความแข็งแรงสูงสุด ซึ่งปัจจุบันไม่มีการผลิตเหล็กเกรด SD30 เพื่อจำหน่าย โดยส่วนใหญ่จะเลือกใช้เหล็ก SD40 เป็นมาตรฐาน และในบางโครงการที่ต้องการความแข็งแรงมากขึ้น จะเลือกใช้ SD50 แทน

ความแตกต่างระหว่างเหล็กข้ออ้อยที่มี “T” และไม่มี “T”

เหล็กข้ออ้อยที่มี “T” เช่น SD50T, SD40T

เหล็กข้ออ้อยที่มีสัญลักษณ์ “T” ต่อท้ายคุณสมบัติของเหล็ก หมายถึง Tempcore หรือ Heat Treatment Rebar ซึ่งเป็นกระบวนการอบชุบด้วยความร้อนที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเหล็ก กระบวนการนี้เริ่มจากการให้ความร้อนสูง จากนั้นทำให้เย็นตัวลงอย่างรวดเร็วด้วยสเปรย์น้ำ ทำให้ผิวเหล็กแข็งขึ้น ขณะที่ภายในเย็นตัวลงอย่างช้าๆ เพื่อรักษาความเหนียวและความยืดหยุ่นของเหล็ก

ข้อดีของเหล็กข้ออ้อยที่มี T (Tempcore)

  1. ความแข็งแรงสูง – ทนต่อแรงดึงและแรงบิดได้ดี
  2. ความเหนียวและยืดหยุ่นสูง – ลดความเสี่ยงต่อการแตกหัก
  3. ลดปริมาณธาตุที่เป็นอันตราย – มีคาร์บอน (Carbon) และแมงกานีส (Manganese) ต่ำกว่าเหล็กทั่วไป ช่วยเพิ่มความสามารถในการเชื่อมและขึ้นรูป
  4. ประสิทธิภาพเชิงโครงสร้างที่ดีขึ้น – รองรับการใช้งานที่ต้องการความทนทานสูง เช่น งานก่อสร้างอาคารสูง สะพาน และโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

 

เมื่อเทียบกับเหล็กข้ออ้อยทั่วไปที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการอบชุบด้วยความร้อน เหล็ก Tempcore มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งสารผสมเพิ่มเติม เช่น คาร์บอน (Carbon) หรือ แมงกานีส (Manganese) ส่งผลให้ประหยัดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันยังช่วยให้การก่อสร้างปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของโครงสร้างได้อีกด้วย

เนื่องจากเหล็กข้ออ้อยที่ผ่านกระบวนการนี้มีคุณสมบัติเหนือกว่าเหล็กปกติ มาตรฐาน มอก. 24-2548 จึงกำหนดให้ต้องมีเครื่องหมาย “T” กำกับ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถแยกแยะได้ง่ายและมั่นใจในคุณภาพของเหล็กที่เลือกใช้

เหล็กข้ออ้อยที่ไม่มี “T” หรือ เหล็ก Non-T

เหล็กข้ออ้อยที่ไม่มีเครื่องหมาย “T” หรือที่เรียกกันว่า เหล็ก Non T เป็นเหล็กที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการอบชุบด้วยความร้อนพิเศษแบบ Tempcore แต่ใช้การปรับแต่งองค์ประกอบทางเคมีเพื่อเพิ่มความแข็งแรงแทน โดยการเพิ่มปริมาณ คาร์บอน (Carbon) และ แมงกานีส (Manganese) ตั้งแต่กระบวนการหลอมและหล่อเป็นเหล็กแท่ง (Billet)

จากนั้น เหล็กแท่งจะถูกนำไปอบและรีดเป็นเหล็กเส้นข้ออ้อย โดยปล่อยให้เย็นตัวลงเองตามธรรมชาติ โดยไม่มีการฉีดสเปรย์น้ำหรือผ่านกระบวนการทางความร้อนเพิ่มเติม ทำให้โครงสร้างภายในของเหล็กเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด มีความแข็งแรงสม่ำเสมอตลอดหน้าตัด และมีค่าความต้านทานแรงดึงเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด

อย่างไรก็ตาม เหล็ก Non-T จะไม่มีความเหนียวและความยืดหยุ่นสูงเหมือนเหล็กที่มี T แต่ยังคงมีคุณสมบัติพื้นฐานที่เหมาะสำหรับการใช้งานในงานก่อสร้างทั่วไปที่ไม่ต้องรองรับแรงดึงหรือแรงกระแทกสูงนัก

กระบวนการผลิตเหล็กข้ออ้อยมี T ไม่มี T

การยอมรับในเหล็กข้ออ้อย “T”

ปัจจุบัน หน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่ รวมถึงภาคเอกชน ยอมรับการใช้เหล็กข้ออ้อยที่มีสัญลักษณ์ “T” ในงานก่อสร้างทั่วไป อย่างไรก็ตาม กรมทางหลวงยังคงใช้เหล็ก Non-T สำหรับงานก่อสร้างถนน เนื่องจากงานประเภทนี้ต้องคำนึงถึง ปัญหาความล้า (Fatigue) ของเหล็ก ซึ่งเกิดจากแรงกระทำซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น แรงบิด แรงดึง และแรงสั่นสะเทือน จากการจราจร

ขณะนี้ ยังไม่มีการยืนยันทางวิศวกรรมว่าเหล็ก “T” มีความทนทานต่อความล้าได้ดีกว่าเหล็ก Non-T ดังนั้น ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการรับแรงกระแทกและการใช้งานที่มีการเคลื่อนไหวหรือสั่นสะเทือนต่อเนื่อง เช่น งานก่อสร้างทางหลวงที่ต้องรองรับน้ำหนักจากยานพาหนะเป็นเวลานาน กรมทางหลวงจึงเลือกใช้ เหล็ก Non-T เพื่อให้แน่ใจว่าตรงตามข้อกำหนดด้านความทนทาน

สำหรับ ผู้ออกแบบและที่ปรึกษาด้านวิศวกรรม ส่วนใหญ่ เข้าใจและยอมรับการใช้เหล็กข้ออ้อย “T” แล้ว อย่างไรก็ตาม ในบางโครงการของภาครัฐ ยังคงต้อง อ้างอิงตามมาตรฐานและเอกสารก่อสร้างเดิม โดยเฉพาะในโครงการที่เกี่ยวข้องกับกรมทางหลวง

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกใช้ เหล็ก T และ Non-T หรือข้อกำหนดด้านมาตรฐาน สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

 

เปรียบเทียบการใช้งานเหล็กข้ออ้อย T กับเหล็กข้ออ้อย Non-T

เหล็กข้ออ้อยทั้งสองประเภท—เหล็กข้ออ้อยที่มี “T” และเหล็กข้ออ้อย (Non-T)—ถูกออกแบบให้มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) โดยเฉพาะในด้าน กำลังดึง ความยืดตัว และการดัดโค้ง ดังนั้น ในแง่ของคุณสมบัติทางกล ทั้งสองประเภทมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน และสามารถใช้งานในงานก่อสร้างได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความแข็งแรงทางโครงสร้าง

1. ความสามารถในการเชื่อม (Welding)

หนึ่งในจุดเด่นของเหล็กข้ออ้อยที่มี “T” คือ มีปริมาณธาตุผสม เช่น คาร์บอนและแมงกานีส น้อยกว่าเหล็กข้ออ้อยทั่วไป ส่งผลให้ สามารถเชื่อมได้ง่ายกว่า และลดความเสี่ยงของการแตกร้าวในบริเวณรอยเชื่อม ดังนั้น หากต้องใช้เหล็กข้ออ้อยที่สามารถเชื่อมได้ดี เหล็กข้ออ้อย “T” ได้เปรียบกว่าชัดเจน

2. การใช้ข้อต่อทางกล (Mechanical Coupler)

การใช้ข้อต่อทางกล (Mechanical Coupler) เป็นกระบวนการที่จำเป็นต้องใช้การกลึงผิวของเหล็กข้ออ้อยเพื่อสร้างเกลียว โดยเหล็กข้ออ้อยที่มีT ซึ่งค่อนข้างจะเป็นรองในหลายๆ ด้าน เนื่องจากการผลิตเหล็กแบบ Temp-core ที่ทำให้ผิวของเหล็กแข็งขึ้น แต่ภายในยังคงเหนียว การกลึงผิวหน้าออกจึงอาจทำให้กำลังของเหล็กลดลง ดังนั้นจึงต้องมีการระมัดระวังในการคำนวณระยะเกลียวที่สั้นที่สุดเพื่อให้สามารถใช้ข้อต่อทางกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องมีการทดสอบกำลังให้เป็นไปตามข้อกำหนดของวสท. 

การใช้ข้อต่อทางกลของเหล็กข้ออ้อย

3. ความทนทานต่อไฟ

การศึกษาของ R. Felicetti ที่ทดสอบกำลังรับแรงดึงของเหล็กข้ออ้อย “T” และเหล็กข้ออ้อยทั่วไปในอุณหภูมิต่างๆ พบว่า ทั้งสองประเภทมีความทนทานต่อไฟใกล้เคียงกัน กล่าวคือ เมื่อถูกเผาที่อุณหภูมิเดียวกัน กำลังรับแรงดึงของเหล็กทั้งสองไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

หากใช้งานเสริมคอนกรีตและกำหนดระยะหุ้มคอนกรีตให้เป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งเหล็กข้ออ้อย “T” และเหล็กข้ออ้อยทั่วไปจะมีความสามารถในการต้านทานไฟเท่ากัน

ข้อสรุปในการเลือกใช้เหล็กข้ออ้อย “T” และ Non-T

  • เลือกเหล็ก “T” หากต้องการการเชื่อมที่ง่ายและปลอดภัย
  • หากต้องใช้ข้อต่อทางกล ควรพิจารณาเหล็ก Non-T เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า หรือหากใช้เหล็กข้ออ้อย “T” ต้องคำนวณระยะเกลียวอย่างระมัดระวัง
  • ด้านความทนทานต่อไฟ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้น การเลือกประเภทเหล็กข้ออ้อยจึงควรพิจารณาจาก ลักษณะงาน และ ข้อกำหนดเฉพาะ ของโครงการ เพื่อให้ได้วัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด

สรุปเหล็กข้ออ้อยที่มี “T” และไม่มี “T”

คุณสมบัติทางกล, การต่อเหล็ก, และความทนทานต่อไฟของ เหล็กข้ออ้อยที่มี “T” และ เหล็กข้ออ้อยทั่วไป (Non-T) ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั้งสองประเภทสามารถใช้งานได้ตามมาตรฐานที่กำหนด การเลือกใช้เหล็กทั้งสองประเภทจึงขึ้นอยู่กับข้อกำหนดเฉพาะของแต่ละโครงการ

ความแตกต่างหลัก อยู่ที่กระบวนการผลิต ซึ่งทำให้ เหล็กที่มี “T” มีลักษณะผิวแข็ง การกลึงผิวเหล็กที่ผ่านกรรมวิธีทางความร้อนจึงควรทำด้วยความระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการลดประสิทธิภาพที่จุดนั้น

นอกจากนี้ เหล็กข้ออ้อยที่มี “T” ยังมีต้นทุนที่ ต่ำกว่าเหล็ก Non-T เนื่องจากขั้นตอนการผลิตที่ไม่ซับซ้อนเท่า การเลือกใช้เหล็กประเภทไหนจึงควรพิจารณาจากลักษณะการใช้งานและความต้องการเฉพาะในโครงการ เพื่อให้ได้วัสดุที่ตรงกับการใช้งานมากที่สุด.

คุณสมบัติ กระบวนการผลิต ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น การต่อเหล็กข้ออ้อย ต้นทุน
เหล็กข้ออ้อยมี “T”
ผ่านการอบชุบด้วยความร้อน (Tempcore)
แข็งแรงและทนทานสูง
ความยืดหยุ่นสูงและทนทานต่อการขยายตัว
เหมาะกันงานเชื่อม ปริมาณธาตุผสมน้อยกว่าสามารถเชื่อมได้ง่ายกว่า
ราคาถูกกว่า เหล็ก NON-T
เหล็กข้ออ้อยไม่มี “T” หรือ เหล็ก NON T
กระบวนการผลิตทั่วไป
แข็งแรงแต่ไม่ทนทานต่อการบิด
ยืดหยุ่นน้อยกว่า
สามารถใช้ข้อต่อทางกลได้ เนื้อเหล็กสามารถต้องกลึงผิวได้
ราคาสูงกว่า เหล็ก T
คุณสมบัติ เหล็กข้ออ้อยที่มี "T" เหล็กข้ออ้อย NON-T
กระบวนการผลิต
ผ่านการอบชุบด้วยความร้อน (Tempcore)
กระบวนการผลิตทั่วไป
ความแข็งแรง
แข็งแรงและทนทานสูง
แข็งแรงแต่ไม่ทนทานต่อการบิด
ความยืดหยุ่น
ความยืดหยุ่นสูงและทนทานต่อการขยายตัว
ความยืดหยุ่นน้อยกว่า
การต่อเหล็กข้ออ้อย
เหมาะกันงานเชื่อม ปริมาณธาตุผสมน้อยกว่า

สามารถเชื่อมได้ง่ายกว่า
สามารถใช้ข้อต่อทางกลได้

เนื้อเหล็กสามารถต้องกลึงผิวได้
ต้นทุน
ราคาถูกกว่า เหล็ก NON-T
ราคาสูงกว่า เหล็ก T

ข้อควรพิจารณาในการเลือกใช้เกรดเหล็กข้ออ้อย

  1. ประเภทงานก่อสร้าง: ควรเลือกเกรดเหล็กที่เหมาะสมกับประเภทของงานที่ต้องการ เช่น งานอาคารสูง, สะพาน หรือโครงสร้างที่ต้องรับแรงกดและแรงบิดสูง
  2. ความทนทานต่อแรง: หากงานก่อสร้างต้องรับแรงดึงหรือแรงสั่นสะเทือนสูง ควรเลือกใช้เหล็กข้ออ้อยที่มีความต้านทานแรงดึงสูง
  3. มาตรฐานและข้อกำหนด: การเลือกเหล็กควรคำนึงถึงมาตรฐานที่ใช้ในแต่ละประเทศและการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง

การเลือกเกรดเหล็กข้ออ้อยที่เหมาะสมจะช่วยให้โครงสร้างมีความทนทานและปลอดภัยตามความต้องการของงานก่อสร้าง.

เหล็กข้ออ้อยมี T ไม่มี T

ติดต่อเรา/เช็คราคาเหล็ก

 

หมวดหมู่ : ทั่วไป
เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ_1
เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ (Structural Steel) คือ เหล็กที่ผ่านการขึ้นรูปเป็นลักษณะต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะกับการนำไปใช้งานด้านโคร...
เหล็กเบา
รวบรวมสูตรการคำนวณน้ำหนักเหล็กในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมตัวอย่างประกอบ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถนำไปใช้ได้จริง ทั้งในงานวิศวกร...
สูตรคำนวนเหล็ก
รวบรวมสูตรการคำนวณน้ำหนักเหล็กในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมตัวอย่างประกอบ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถนำไปใช้ได้จริง ทั้งในงานวิศวกร...
ราคาวัสดุก่อสร้าง
รวบรวมสูตรการคำนวณน้ำหนักเหล็กในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมตัวอย่างประกอบ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถนำไปใช้ได้จริง ทั้งในงานวิศวกร...
เหล็กเต็ม
ในวงการก่อสร้าง วัสดุที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของอาคาร คงหนีไม่พ้น “เหล็ก” ซึ่งมีหลายประเภท แต่หนึ่งในตัวเลือกที่ช่าง...
Green Steel เหล็กสีเขียว
Green Steel และการบริหาร Carbon Footprint จะกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเหล็กและอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ป...